คณิตศาสตร์น่ารู้
บทที่ 1
ระบบเลขฐาน
1.1 จำนวนในระบบเลขฐาน
ในปัจจุบันระบบเลขฐานที่ใช้อยู่เป็นระบบเลขฐาน 10 ซึ่งมีข้อสังเกตต่อไปนี้
1. สัญลักษณ์หรือตัวเลขที่ใช้อยู่ในระบบมี 10 ตัวเท่านั้นคือ 0, 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, และ 9 ในการสร้าวจำนวนมากหรือน้อยเพียงใด เรามีขอบเขตที่จะนำตัวเลขมาใช้เพียง 10 ตัวเท่านั้น เช่น 523, 47015, 62.734
2. สัญลักษณ์หรือตัวเลขตัวเดียวกันมีค่าต่างกัน เมื่อเขียนอยู่ในตำแหน่งที่ต่างกัน เช่น 7 4 4 4
หลักที่ 1 ; เลข 4 มีค่าเป็น 4 หรือ 4 x 10 º
หลักที่ 2 ; เลข 4 มีค่าเป็น 40 หรือ 4 x 10 ¹
หลักที่ 3 ; เลข 4 มีค่าเป็น 400 หรือ 4 x 10 ²
หลักที่ 4 ; เลข 7 มีค่าเป็น 7000 หรือ 7 x 10 ³
0. 4 1 4
หลักที่ 1 ; เลข 4 มีค่าเป็น 0.4 หรือ 4 x 10 ¯ ¹
หลักที่ 2 ; เลข 1 มีค่าเป็น 0.01 หรือ 1 x 10 ¯ ²
หลักที่ 3 ; เลข 4 มีค่าเป็น 0.004 หรือ 4 x 10 ¯ ³
3. จำนวนทุกจำนวนของเลขฐาน 10 สามารถกระจายออกเป็นผลบวกของตัวเลขประจำตำแหน่งคูณกับค่าประจำตำแหน่งที่ตัวเลขนั้นปรากฎอยู่ เช่น
-
= ( 2 x 10 ² ) + ( 4 x 10 ¹ ) + ( 9 x 10 º )
-
= ( 6 x 10 ¹ ) + ( 8 x 10 º ) + ( 4 x 10 ¯ ¹ ) + ( 5 x 10 ¯ ² )
-
1.2 การเปลี่ยนระบบเลขฐาน r เป็นระบบเลขฐาน 10
สัญลักษณ์หรือตัวเลขที่ใช้ในระบบเลขฐาน r
ระบบเลขฐาน สัญลักษณ์หรือตัวเลขที่ใช้
-
0, 1
-
0, 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7
10 0, 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9
-
0, 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9, A, B, C, D, E, F
ในระบบเลขฐาน 16 A มีค่า 10 หน่วย B มีค่า 11 หน่วย
C มีค่า 12 หน่วย D มีค่า 13 หน่วย
E มีค่า 14 หน่วย F มีค่า 15 หน่วย
1.3 การเปลี่ยนระบบเลขฐาน 10 เป็นระบบเลขฐาน r
กรณีจำนวนหน้าจุดทศนิยม
ให้นำจำนวนหน้าจุดทศนิยม มาตั้งหารสั้นโดยตัวหารคือ r ( ฐานที่ต้องการเปลี่ยน ) ทำการหารไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งตัวตั้งศูนย์ ในการหารแต่ละครั้งให้เขียนเศษคือ 0, 1, 2, …, r – 1 ไว้บรรทัดเดียวกันทางขวามือ ผลลัพธ์ที่ต้องการได้จากการนำเศษที่เหลือทางขวามือมาเขียนเรียงกัน เริ่มจากล่างสุดขึ้นไป
กรณีจำนวนหลังจุดทศนิยม
ให้นำจำนวนหลังจุดทศนิยม มาตั้งคูณโดยตัวคูณคือ r ( ฐานที่ต้องการเปลี่ยน ) ทำการคูณไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งได้ผลคูณหลังจุดทศนิยมเป็นศูนย์ทุกตัว ซึ่งในการคูณแต่ละครั้งถ้ามีจำนวนหน้าจุดทศนิยมให้แยกไว้ แล้วนำเฉพาะจำนวนหลังจุดทศนิยมไปตั้งคูณครั้งต่อไป ผลลัพธ์ที่ต้องการให้นำตัวเลขหน้าจุดทศนิยมที่แยกเอาไว้มาเขียนเรียงกัน เริ่มจากตัวเลขหน้าจุดทศนิยมตัวแรกไปจนถึงตัวสุดท้าย
1.4 ความสัมพันธ์ของระบบเลขฐาน 2 ฐาน 8 และฐาน 16
ในกรณีต้องการเปลี่ยนระบบเลขฐานใดฐานหนึ่งไปสู่ระบบเลขฐานใด ๆ โดยที่ระบบเลขฐานเดิมนั้นกับระบบเลขฐานใหม่ที่ต้องการ มีความสัมพันธ์กันจึงไม่จำเป็นที่จะต้องปรับเข้าสู่ระบบเลขฐาน 10 ก่อน
กรณีที่ 1 การเปลี่ยนระบบเลขฐาน 2 กับระบบเลขฐาน 8
เนื่องจาก ในการเปลี่ยนระหว่างเลขฐาน 2 กับระบบเลขฐาน 8 ให้แบ่งเลขฐาน 2 ออกเป็นชุด ๆ ละ 3 หลัก เริ่มแบ่งตรงจุด ถ้าไม่ครบ 3 หลักสามารถเดิม 0 ให้ครบ หน้าจุดให้เติม 0 ข้างหน้าหลังจุดให้เดิม 0 ข้างหลัง นั่นคือเลขฐาน 2 จำนวน 3 หลัก มีความสัมพันธ์กับเลขฐาน 8 จำนวน 1 หลัก
ตารางแสดงความสัมพันธ์ระหว่างระบบเลขฐาน 2 กับระบบเลขฐาน 8
เลขฐาน 24 + 2 + 1 |
เลขฐาน 8 |
0 0 00 0 10 1 00 1 11 0 01 0 11 1 01 1 1 |
01234567 |
กรณีที่ 2 การเปลี่ยนระบบเลขฐาน 2 กับระบบเลขฐาน 16
เนื่องจาก ในการเปลี่ยนระหว่างเลขฐาน 2 กับเลขฐาน 16 ให้แบ่งเลขฐาน 2 ออกเป็นชุด ๆ ละ 4 หลัก เริ่มแบ่งตรงจุด ถ้าไม่ครบ 4 หลักสามารถเติม 0 ให้ครบ เช่นเดียวกับกรณีที่ 1 นั่นคือ เลขฐาน 2 จำนวน 4 หลัก มีความสัมพันธ์กับเลขฐาน 16 จำนวน 1 หลัก
ตารางแสดงความสัมพันธ์ระหว่างระบบเลขฐาน 2 กับระบบเลขฐาน 16
เลขฐาน 25 + 4 + 2 + 1 |
เลขฐาน 16 |
0 0 0 00 0 0 10 0 1 00 0 1 10 1 0 00 1 0 10 1 1 00 1 1 11 0 0 01 0 0 11 0 1 01 0 1 11 1 0 01 1 0 11 1 1 01 1 1 1 |
0123456789ABCDEF |
กรณีที่ 3 การเปลี่ยนระบบเลขฐาน 8 กับระบบเลขฐาน 16
เมื่อต้องการเปลี่ยนระหว่างระบบเลขฐาน 8 กับระบบเลขฐาน 16 สามารถเปลี่ยนแปลงกันได้โดยผ่านทางระบบเลขฐาน 10 หรือระบบเลขฐาน 2 ซึ่งในที่นี้การผ่านทางระบบเลขฐาน 2 จะทำได้สะดวกและรวดเร็วกว่า
1.5 การบวกระบบเลขฐานต่าง ๆ
การบวกระบบเลขฐาน r ใด ๆ นั้นสามารถบวกพร้อมกันได้ แต่จะต้องตั้งจุดให้ตรงกัน ทำการบวกแต่ละหลัก ถ้าผลบวกแต่ละหลักมีค่าน้อยกว่า r ก็ใส่เป็นคำตอบได้เลย ส่วนผลบวกแต่ละหลักมีค่ามากกว่าหรือเท่ากับ r จะต้องเปลี่ยนผลบวกนั้นเข้าสู่ระบบเลขฐาน r ดังนี้
สูตร ผลบวก = n( r ) + m
โดยที่ n เป็นตัวเลขสำหรับทดในหลักถัดไป ซึ่ง
และ m เป็นตัวเลขสำหรับใส่เป็นคำตอบ ซึ่ง
1.6 การลบระบบเลขฐานต่างๆ
การลบระบบเลขฐาน r ใด ๆ นั้นไม่สะดวกต่อการที่จะหาผลลบพร้อม ๆ กัน จึงให้ทำการลบทีละจำนวน ถ้าในการลบแต่ละหลักตัวตั้งมีค่าน้อยกว่าตัวลบ จะต้องทำการขอยืมจากหลักถัดไปข้างหน้ามา 1 หน่วย ซึ่งมีค่าเท่ากับ r หน่วย
นั่นคือ ระบบเลขฐาน 2 ขอยืมมา 1 หน่วย มีค่า 2 หน่วย
ระบบเลขฐาน 8 ขอยืมมา 1 หน่วย มีค่า 8 หน่วย
ระบบเลขฐาน 16 ขอยืมมา 1 หน่วย มีค่า 16 หน่วย
1.7 การคูณระบบเลขฐานต่าง ๆ
การคูณระบบเลขฐาน r ใด ๆ จะต้องตั้งหลักสุดท้ายให้ตรงกัน ในการคูณแต่ละหลัก ถ้ามีค่าอยู่ระหว่าง 0 ถึง r – 1 ก็ใส่เป็นคำตอบได้ แต่ถ้าผลคูณแต่ละหลักมีค่ามากกว่าหรือเท่ากับ r แล้ว จะต้องเปลี่ยนผลคูณนั้นเข้าสู่ระบบเลขฐาน r โดยใช้สูตรดังนี้
ผลคูณ = n( r ) + m
โดยที่ n เป็นตัวเลขสำหรับทดหลักถัดไป ซึ่ง 1 ≤ n ≤ r – 1
m เป็นตัวเลขสำหรับใส่เป็นคำตอบ ซึ่ง 0 ≤ m ≤ r – 1
หน่วยที่ 1 เรื่อง อัตราส่วน
อัตราส่วนใช้ในการแก้ปัญหาทางด้านช่าง เช่น อัตราสว่ นระหว่างตะกั่ว : ดีบุก = 1: 2
อัตราส่วนระหว่างปูน : ทราย = 1: 3 เป็นตน้ ความหมายของอัตราส่วน คือการเปรียบเทียบปริมาณ
สองปริมาณ แต่ละปริมาณเป็นจำนวน สิ่งของ ความสูง และความยาว เป็นต้น
การเขียนอัตราส่วน a ต่อ b สามารถเขียนแทนดว้ ย a : b หรือ เขียนในรูปเศษส่วน เป็น
b
a
เรียก a ว่าเป็นจำนวนแรก หรือจำนวนที่หนึ่ง
b ว่าเป็นจำนวนหลัง หรือจำนวนที่สอง
ตัวอย่าง เช่น ถ้าวัดความสูงจากรูป 1 เซนติเมตร ความสูงจริง 200 เซนติเมตร เรากล่าวว่าความสูงที่
วัดได้จากรูปเมื่อเปรียบเทียบกับความสูงจริงเปน็ อัตราส่วน 1 ต่อ 200 เขียนแทนดว้ ย 1: 200 หรือ
200
1
อัตราส่วนระหว่างตะกั่ว ตอ่ ดีบุก = 1: 2 หรือ 2
1
ตำแหน่งของจำนวนในแต่ละอัตราส่วนมีความสำคัญ การสลับตำแหน่งกันจะได้อัตราส่วนที่ต่างๆ กัน
เช่น a : b ≠ b : a , 1: 5 ≠ 5 :1 เป็นต้น
การเขียนอัตราส่วนมี 2 ลักษณะ ดังนี้
1. เมื่ออัตราส่วนทั้งสองอัตราส่วนมีหน่วยเหมือนกันอาจจะเขียนหรือไม่ต้องเขียนหน่วยกำกับ
ไว้ก็ได้ แต่ส่วนมากไม่นิยมเขียนหน่วยกำกับ เช่น จำนวนนักเรียนชาย 24 คน ต่อ จำนวนนักเรียนหญิง
18 คน ดังนั้นการเปรียบเทียบจำนวนนักเรียนชายและนักเรียนหญิงในรูปอัตราส่วนจะได้ว่า อัตราส่วน
นักเรียนชาย ตอ่ นักเรียนหญิงเท่ากับ 24 ต่อ 18 หรือ 24 :18 หรือ 18
24
2. เมื่ออัตราส่วนทั้งสองอัตราส่วนมีหน่วยต่างกันต้องเขียนหน่วยกำกับไว้เสมอ เช่น ปากกา 2
ด้าม ราคา 16 บาท เขียนในรูปของอัตราส่วนดังนี้ อัตราส่วนของปากกาเป็นด้ามต่อราคาเป็นบาท คือ
2 : 16 หรือ อัตราส่วนของจำนวนปากกา ต่อ ราคา คือ 2 ด้าม : 16 บาท
คุณสมบัติของอัตราส่วน
การหาอัตราส่วนที่เท่ากับอัตราส่วนที่กำหนดให้ ทำได้โดยใช้หลักการดังนี้
1. หลักการคูณ เมื่อคูณแต่ละจำนวนในอัตราส่วนด้วยจำนวนเดียวกัน โดยที่จำนวนนั้นต้องไม่
เท่ากับศูนย์ จะได้อัตราส่วนจำนวนใหม่ที่มีค่าเท่ากับอัตราส่วนเดิม
2
เช่น a : b = ma : mb เมื่อ (m ≠ 0)
4 : 5 = 4 × 6 : 5× 6 = 24 : 30
2. หลักการหาร เมื่อหารแต่ละจำนวนในอัตราส่วนด้วยจำนวนเดียวกัน โดยที่จำนวนนั้นไม่เท่า
กับศูนย์ จะได้อัตราส่วนจำนวนใหม่ที่มีค่าเท่ากับอัตราส่วนเดิม
เช่น k
b
k
a : b = a : เมื่อ (k ≠ 0)
10 : 21
3
: 63
3
30 : 63 = 30 =
ตัวอย่างที่ 1 จงหาอัตราส่วนที่เท่ากับอัตราส่วนที่กำหนดให้อีก 2 อัตราส่วน
1. 2 : 7
2. 16 : 64
วิธีทำ (1) 2 : 7 หรือ 7
2 = 7 4
2 4
×
× = 28
8 = 8 : 28
= 7 9
2 9
×
× = 63
18 = 18 : 63
ดังนั้นอัตราส่วนที่เท่ากับ 2 : 7 คือ 8 : 28 และ 18 : 63
(2) 16 : 64 หรือ 64
16 = 2
: 64
2
16 = 8 : 32
= 8
: 64
8
16 = 2 : 8
ดังนั้นอัตราสว่ นที่เท่ากับ 16 : 64 คือ 8 : 32 และ 2 : 8 ตอบ
การทำอัตราส่วนให้เป็นอัตราส่วนอย่างต่ำ คือ การนำจำนวนใดจำนวนหนึ่งมาหารทั้งเศษและ
ส่วน จนไม่สามารถหารได้ อัตราส่วนนั้นเรียกว่า อัตราส่วนอย่างต่ำหรือเศษส่วนอย่างต่ำ
ตัวอย่างที่ 2 จงทำอัตราส่วนที่กำหนดให้ต่อไปนี้ให้เป็นอัตราส่วนอย่างต่ำ
1. 36 : 48
2. 26 : 65
3
วิธีทำ (1) 36 : 48 หรือ 48
36 = 12
: 48
12
36 = 3 : 4
(2) 26 : 65 หรือ 65
26 = 13
: 65
13
26 = 2 : 5
ดังนั้น อัตราส่วนอย่างต่ำของ 36 : 48 คือ 3 : 4
อัตราส่วนอย่างต่ำของ 26 : 65 คือ 2 : 5 ตอบ
การนำอัตราส่วนไปประยุกต์ใช้
ตัวอย่างที่ 3 นมสดผสมน้ำในอัตราส่วน 5 : 2 ถ้าต้องการน้ำนมที่ผสมน้ำแลว้ จำนวน 49 ลิตร
จะต้องใช้นมสดเท่าไร
วิธีทำ นมสดผสมน้ำ อัตราส่วน = 5 : 2
หมายความว่า น้ำนมสด 5 ส่วน และน้ำ 2 ส่วน ส่วนผสมทั้งหมด = 5 + 2 = 7 ส่วน
ดังนั้นน้ำนมที่ผสมน้ำ 49 ลิตร จะเท่ากับน้ำนมสด 7 ส่วน
จะได้ว่าน้ำนม 1 ส่วน = 7
7
49 = ลิตร
ดังนั้น ต้องใช้นมสด = 5× 7 = 35 ลิตร
ต้องใช้น้ำ = 2 × 7 = 14 ลิตร ตอบ
ตัวอย่างที่ 4 โลหะผสมประกอบดว้ ยเหล็กและดีบุก ในอัตราส่วน 8 : 3 ถ้ามีดีบุก 72.4 กรัม ต้องใช้
เหล็กกี่กรัม
วิธีทำ สมมติว่าใช้เหล็ก x กรัม
จากโจทยจ์ ะได้ว่า 8 : 3 = x : 72.4
หรือ 3
8 = 72.4
x
x = 3
72.4× 8
x = 193.06 กรัม
ดังนั้น ต้องใช้เหล็ก 193.06 กรัม ตอบ__
หน่วยที่ 5 เรื่อง สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว
ความหมายของสมการ
สมการ เป็นประโยคสัญลักษณ์แสดงถึงการเท่ากันของจำนวนโดยใช้เครื่องหมาย “=”
เช่น 5 + 2 = 7 สมการเป็นจริง
การแก้สมการ คือการหาค่าของตัวแปรที่ทำให้สมการเป็นจริง โดยอาศัยสมบัติการเท่ากันของ
จำนวนจริง
สมบัติการเท่ากันของจำนวนจริง
สำหรับ a , b และ c เป็นจำนวนจริงใดๆ
1. สมบัติการสมมาตร
ถ้า a = b แล้ว b = a
2. สมบัติการบวก
ถ้า a = b แล้ว a + c = b + c หรือ a − c = b − c
3. สมบัติการคูณ
ถ้า a = b แล้ว a × c = b × c หรือ c
b
c
a =
4. สมบัติการแจกแจง
a ×(b + c)= (a × b)+ (a × c) หรือ
(b + c)× a = (b × a)+ (c × a)
สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว คือ สมการที่มีตัวแปรเพียงตัวเดียว และกำลังสูงสุดของตัวแปร
เท่ากับหนึ่ง เช่น
1. 3x + 5 = 10
2. 19(1+ x)= 16x −11
3.
10 4
3
5
4x − = x
รูปทั่วไปของสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว ax + b = 0 เมื่อ a และ b เป็นค่าคงตัว a ≠ 0
และ x เป็นตัวแปร
22
วิธีการแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว จัดสมการให้อยู่ในรูปอย่างง่าย โดยให้ตัวแปรและค่าคงที่
อยู่คนละข้าง แล้วใช้สมบัติการเท่ากันของจำนวนจริง
ตัวอย่างที่ 1 จงหาค่า x จากสมการ 9x + 7 = 25
วิธีทำ 9x + 7 = 25
9x + 7 − 7 = 25 − 7 ( นำ 7 ลบทั้งสองข้าง )
9x = 18
9
18
9
9x = ( นำ 9 หารทั้งสองข้าง )
x = 2 ตอบ
ตัวอย่างที่ 2 จงหาค่า x จากสมการ 5x + 4 = 3(x − 2)
วิธีทำ 5x + 4 = 3(x − 2)
5x + 4 = 3x − 6 ( สมบัติการแจกแจง )
5x + 4 − 3x = 3x − 3x − 6 ( นำ 3x ลบทั้งสองข้าง )
2x + 4 = −6
2x + 4 − 4 = −6 − 4 ( นำ 4 ลบทั้งสองข้าง )
2x = −10
2
10
2
2x = − ( นำ 2 หารทั้งสองข้าง )
x = −5 ตอบ
สมการตัวแปรเดียวที่อยู่ในรูปเศษส่วนจะต้องหา ค.ร.น. ของตัวส่วน แล้วนำ ค.ร.น.
คูณทุกพจน์ของสมการ จากนั้นจึงดำเนินการแก้สมการต่อไป
ตัวอย่างที่ 3 จงหาค่า x จากสมการ ( )
2
4 25
8
7 4 −
=
x − x
วิธีทำ ( )
2
4 25
8
7 4 −
=
x − x
นำ 8 ซึ่งเป็น ค.ร.น. ของ 8,2 คูณทั้งสองข้างของสมการ
( ) 8
2
8 4 25
8
7 4 ×
−
× =
x − x
7(x − 4)= 4(4x − 25)
7x − 28 = 16x −100 ( สมบัติการแจกแจง )
23
7x −16x = −100 + 28
− 9x = −72
9
72
9
9
−
−
=
−
− x ( นำ − 9 หารทั้งสองข้าง )
x = 8 ตอบ
ตัวอย่างที่ 4 จงหาค่า x จากสมการ 2
6 3
5 3 = +
x − x
วิธีทำ 2
6 3
5 3 = +
x − x
นำ 6 ซึ่งเป็น ค.ร.น. ของ 6,3 คูณทั้งสองข้างของสมการ
6 (2 6)
3
6
6
5 3 × = × + ×
x − x
5X − 3 = 2X +12
5X − 2X = 3 +12
3X = 15
X = 5 ตอบ
ตัวอย่างที่ 5 จงแก้สมการ 1.5x −12.8 = 0.8x −1.6
วิธีทำ 1.5x −12.8 = 0.8x −1.6
1.5x − 0.8x = 12.8 −1.6
0.7x = 11.2 ( นำ 10 คูณทั้งสองข้าง )
7x = 112
16
7
x = 112 = ตอบ
หน่วยที่ 2 เรื่อง สัดส่วน
สัดส่วนหมายถึง ประโยคที่แสดงการเท่ากันของอัตราส่วนสองอัตราส่วน โดยทำอัตราส่วน
ทั้งสองให้เป็นอัตราส่วนอย่างต่ำแล้ว จะมีค่าเท่ากันเสมอ เขียนอยูใ่ นรูปของ a : b = c : d หรือ เขียน
ในรูปของเศษส่วน d
c
b
a = เช่น 3 : 4 = 6 : 8 หรือ 8
6
4
3 =
ตัวอย่างที่ 1 จงหาค่า x ในสัดส่วนที่กำหนดให้ต่อไปนี้
1. 10 : x = 3 : 7
2. x : 56 = 0.5 : 0.7
วิธีทำ (1) 10 : x = 3 : 7 หรือ 7
10 = 3
x
10 × 7 = 3× x
3
23 1
3
x = 70 = ตอบ
(2) x : 56 = 0.5 : 0.7 หรือ 0.7
0.5
56
x =
0.7 × x = 0.5× 56
40
0.7
56 0.5 =
×
x = ตอบ
สั ดส่วนมี 2 ชนิด มีดังนี้
1. สัดส่วนตรง คือ สัดส่วนของสิ่งที่นำมาเปรียบเทียบกัน จะมีความสัมพันธ์ไปในทางเดียวกัน
โดยเมื่อสิ่งหนึ่งเพิ่มขึ้นอีกสิ่งหนึ่งจะเพิ่มตาม หรือเมื่อสิ่งหนึ่งลดลงอีกสิ่งหนึ่งลดลง เช่น เสื้อตัวหนึ่ง
ราคา 190 บาท ซื้อเสื้อ 3 ตัวราคา 570 บาท เขียนในรูปสัดส่วนดังนี้
จำนวนเสื้อ : ราคาเสื้อ = 1:190 = 3 : 570
ดังนั้น ถ้า a : b และ c : d เป็นสัดส่วนตรงโดยที่จำนวนทั้ง 4 ไม่เท่ากับศูนย
จะได้ a : b = c : d หรือ d
c
b
a =
2. สัดส่วนผกผัน คือ สัดส่วนของสิ่งที่นำมาเปรียบเทียบกัน จะมีความสัมพันธ์ไปในทางตรง
ข้ามกัน โดยเมื่อสิ่งหนึ่งเพิ่มขึ้น อีกสิ่งหนึ่งจะลดลง หรือเมื่อสิ่งหนึ่งลดลงอีกสิ่งหนึ่งจะเพิ่มขึ้น เช่น
ชาย 3 คน ทำงานชิ้นหนึ่งเสร็จในเวลา 20 วัน ถ้าชาย 8 คน ทำงานชิ้นเดียวกันเสร็จในเวลา 10 วัน
เขียนในรูปสัดส่วนดังนี้ จำนวนคน : จำนวนวัน = 3 : 20 = 8 :10
7
ดังนั้น ถ้า a : b และ c : d เป็นสัดส่วนผกผันโดยที่จำนวนทั้ง 4 ไม่เท่ากับศูนย
จะได้
d
b c
a = 1 หรือ c
d
b
a =
ตัวอย่างที่ 2 รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีอัตราส่วนด้านกว้างต่อด้านยาวเท่ากับ 4 : 7 ถ้ารูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ามี
ความกว้าง 32 เซนติเมตร ความยาวของเส้นรอบรูปเท่ากับเท่าใด
วิธีทำ ด้านกว้าง ต่อ ด้านยาว = 4 : 7 = 7
4
ถ้าด้านกว้าง 32 เซนติเมตร สมมุติให้ด้านยาว = x เซนติเมตร
4 : 7 = 32 : x
4 × x = 32 × 7
x = 56
ความยาวเท่ากับ 56 เซนติเมตร
ความยาวของเส้นรอบรูป = 2 ( กว้าง + ยาว)
= 2(56 + 32)
ดังนั้นความยาวของเส้นรอบรูป = 176 เซนติเมตร ตอบ
การนำสัดส่วนไปประยุกต์ใช้
ตัวอย่างที่ 3 ลวดทองแดงเส้นหนึ่งยาว 50 เมตร มีค่าความต้านทาน 3 โอห์ม ถ้าความต้านทานของ
ลวดทองแดงเป็นสัดส่วนกับความยาว จงหาความต้านทานของลวดทองแดงชนิดนี้ซึ่งมีความยาว 1
กิโลเมตร
วิธีทำ ถ้าลวดทองแดงยาว 1 กิโลเมตร สมมุติมีความต้านทาน x โอห์ม
ความต้านทานเป็นสัดส่วนกับความยาว
ความยาว 1 กิโลเมตร เท่ากับ 1000 เมตร
เขียนในรูปสัดส่วน คือ x
1000
3
50 =
60
50
1000 3 =
×
x =
ดังนั้น ลวดทองแดงมีความต้านทาน 60 โอห์ม ตอบ
8
ตัวอย่างที่ 4 คนงาน 14 คน ทำงานอย่างหนึ่งแล้วเสร็จในเวลา 5 วัน ถ้ามีคนงาน 35 คน จะทำงาน
อย่างเดียวกันแล้วเสร็จในเวลากี่วัน
วิธีทำ คนงาน 35 คน ทำงานแล้วเสร็จในเวลา x วัน
ถ้าคนงาน 14 คน ทำงานแล้วเสร็จในเวลา 5 วัน
เขียนในรูปสัดส่วน คือ x
5
14
35 =
35
5×14
x = = 2
ดังนั้น คนงาน 35 คนจะทำงานแล้วเสร็จในเวลา 2 วัน ตอบ
แบบฝึกหัด เรื่อง สัดส่วน
คำสั่ง จงแสดงวิธีทำโดยละเอียด
1. จงหาค่า a ในสัดส่วน 8 :17 = 4 : a
2. จงหาค่า x ในสัดส่วน 70 : 45 = 14 : x
3. โรงเรียนแห่งหนึ่งมีนักเรียนชายต่อนักเรียนหญิงคิดเป็นอัตราส่วน 4 : 9 ถ้าโรงเรียนแห่งหนึ่งมี
นักเรียนทั้งหมด 3,640 คน จะมีนักเรียนชายและนักเรียนหญิงกี่คน
4. สังกะสีจำนวน 40 กิโลกรัม ต้องการทำทองเหลืองที่มีอัตราส่วนระหว่างทองแดงและสังกะสี
เป็น 7 : 3 จะต้องใช้ทองแดงจำนวนเท่าไร
5. คนงาน 10 คน ขนของขึ้นจากท่าเรือใช้เวลา 9 ชั่วโมง ถ้ามีคนงานจำนวน 18 คน ทำงานอย่าง
เดียวกันจะเสร็จในเวลากี่ชั่วโมง
สมการเชิงเส้นสองตัวแปร
สมการเชิงเส้นสองตัวแปร คือสมการที่มีตัวแปรสองตัว และเลขชึ้กำลังของตัวแปรมีกำลังหนึ่ง
รูปทั่วไปของสมการ คือ ax + by = c เมื่อ a,b และ c เป็นจำนวนจริงใด a ≠ 0 , b ≠ 0
เช่น 3x + y = −1
4x + 2y = 10
การแก้สมการเชิงเส้นสองตัวแปร
1. การแก้สมการเชิงเส้นสองตัวแปรโดยการแทนค่า มีวิธีการดังนี้
1.1 จัดรูปตัวแปรในสมการใดสมการหนึ่ง ให้ x อยู่ในรูปของ y หรือ y อยู่ในรูปของ x
1.2 นำตัวแปร x หรือ y ที่จัดรูปแล้วไปแทนค่าในสมการที่เหลือ ซึ่งทำให้สมการนั้นเป็น
สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว
1.3 แก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียวหาค่าตัวแปรตัวแรก
1.4 นำค่าตัวแปรที่ได้ไปแทนค่าในสมการ หาค่าตัวแปรที่เหลือ
ตัวอย่างที่ 1 จงแก้สมการ x − 2y = 6 และ 2x + y = 7
วิธีทำ x − 2y = 6 …………….(1)
2x + y = 7 …………….(2)
จากสมการ 1 x = 6 + 2y …………….(3)
แทนค่า x ในสมการ (2)
2(6 + 2y)+ y = 7
12 + 4y + y = 7
1
5
5 = −
−
y =
แทนค่า y = −1 ใน (3)
x = 6 + 2(−1)
x = 4
ดังนั้น x = 4 , y = −1 ตอบ
Leave a comment